เรื่องเล่าจากป่ะป๊า
จะว่าไปป่ะป๊าต้องวางแผนไว้แน่ๆ ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าจะลูกสาว หรือลูกชาย หากมีเหตุใดๆที่ไม่ได้ดั่งใจ แล้วเสียใจ และตั้งท่าจะร้องไห้ จะต้องมีป่ะป๊ามาคอยสอน ห้ามไม่ให้ร้องไห้อยู่เสมอ อย่างลูกสาวนี่ ด้วยความที่เป็นลูกคนโต ป่ะป๊าก็จะบอกว่า “เราเป็นพี่ ต้องเข้มแข็ง ห้ามร้องไห้ให้คนอื่นเห็น ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี” ส่วนน้องๆ ลูกชายทั้งสองคน ป่ะป๊าก็จะเปลี่ยนเป็นบอกว่า “นี่เราเป็นลูกผู้ชาย ห้ามร้องไห้ง่ายๆ อ่อนแอไม่ได้ เราต้องเข้มแข็ง” สรุปแล้ว ลูกๆทั้งสามคนจึงถูกหล่อหลอม และหลอกหลอมให้มีนิสัยเข้มแข็งไปโดยปริยาย
แน่นอนว่า ที่แต่ละคนได้อนิสงฆ์ของความเข้มแข็งกันไปในการใช้ชีวิต สุดท้ายแล้วป่ะป๊า กับหม่าม้านี่ล่ะที่ได้ผลดีโดยตรงซะมากกว่า ตัวอย่างที่ชัดที่สุด คือ ตลอดเวลาที่ป่ะป๊าป่วย ตลอดสิบปีที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่ติดเชื้อต้องเข้าออกโรงพยาบาล โดยเฉพาะช่วงแรกที่ทั้งป๊า และทุกคนในบ้านต้องปรับตัวอยู่กับโรคร้าย ป๊าเริ่มขยับตัวไม่ได้ทีละนิด จนต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง เวลาที่ลูกสาวคนโตของป๊าดูแลคุยเล่นกับป๊า สิ่งที่กลั้นไว้คือน้ำตา สิ่งที่พูดคือกำลังใจที่ให้กันกับรอยยิ้ม ถ้ากลั้นไม่ไหว ถ้าอยากเศร้า ก็แค่เดินออกมา ไปห้องน้ำ ไปที่อื่น สิ่งที่สำคัญคือเรามีรอยยิ้มให้กัน มองโรคร้ายให้เป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อไม่มียารักษาเราก็ทำได้แค่ปรับตัว
ในวันที่ป๊าป่วยติดเตียง ป๊าก็ไม่ได้เห็นลูกสาวคนนี้ร้องไห้ เชื่อมั่นว่าป๊าสบายใจที่เห็นลูกสาวยิ้มมากกว่าเห็นน้ำตาแน่ๆ เรามักจะคุยกันด้วยบรรยากาศของความรัก ความห่วงใย และความสุข เราไม่คุยค่อยกันเรื่องความหวัง มีหวังก็มีผิดหวัง หัวข้อที่ลูกชอบคุยปรึกษาป๊าบ่อยๆคือ การวางแผนรับมือ หากเดินไปเที่ยวไม่ได้ เราจะเข็นไปเที่ยวกัน ช่วงนี้ไปไหนได้บ้าง หากเคี้ยวไม่ไหว เราก็ปั่นอาหารสิ หน้าตาอาหารไม่ดี แต่รสชาตยังดีอยู่นี่นา แล้วหากวันไหนเที่ยวไม่ไหว เราก็ดูหนังจีนที่ป๊าชอบที่บ้านก็ได้ เราก็ต้องช่วยกันเรียนรู้และปรับตัว เข้าใจโรค ยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้
คนที่เข้มแข็งที่สุดก็คือ ป่ะป๊า เข้มแข็งมาตลอด ให้ลูกเห็น ให้ลูกซึมซับ และให้ลูกได้มีโอกาสเข้มแข็งได้แบบป๊า ยิ้มได้แม้ขยับตัวไม่ได้ ยิ้มได้แม้เสียใจ “ความเข้มแข็ง คงเป็นทรัพย์สิน เป็นมรดกชิ้นใหญ่ที่ป๊ามอบให้”
II. น้ำตาลูกผู้ชาย
แม้ในวันที่พ่อขยับไม่ได้ พูดไม่ได้
พ่อไม่เคยร้องไห้ให้ตัวเอง ไม่มีความอ่อนแอ
นี่พ่อเลยเถิดสอนไปถึงลูกสาว ว่าห้ามร้องไห้ให้คนอื่นเห็นไปอีก
ส่วนน้ำตาของพ่อ มีให้กับความภูมิใจ และความปราบปลื้มเท่านั้น
ถ้าทีมชาติไทย ไม่ว่าจะวอลเลย์บอล หรือฟุตบอลชนะ เราก็อาจเห็นน้ำตาของพ่อก็ได้
III. วางใจ ไว้ใจ เชื่อใจ
ลูกป๊าดีที่สุด เก่งที่สุด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
คนอื่นดีกว่านี้ ก็ไม่ใช่ลูกป๊าอยู่ดี
ที่สำคัญคือห้ามโกหก มีอะไรให้บอก เมื่อไม่โกหกป๊าก็วางใจ
การให้ลูกสาวไปลองอยู่คนเดียวที่คอนโด ก็มีป๊านี่ล่ะที่ปล่อยไฟเขียวก่อนแม่อีก
การสอนลูกน้อง และการไว้ใจเชื่อใจลูกน้องก็ไม่ต่างกัน
ป๊ามักบอกว่าเราทำงานคนเดียวไม่ได้
ถ้าลูกน้องโกงแต่ไม่มีหลักฐานและเรายังมีกำไร ให้หลับตาข้างนึง
แต่ถ้ามีหลักฐานที่ชัดเจน เราก็ต้องลงโทษให้เป็นตัวอย่าง
IV. เลี้ยงลูกแบบผู้บริหาร
พ่อสอนว่า คนเรานะ ถ้าชม ต้องชมต่อหน้าคนเยอะๆ
แต่ถ้าจะต่อว่าใคร ให้เรียกมาคุยตัวต่อตัว เพียงเค้าคนเดียว
ไม่มีใครที่อยากเสียหน้าต่อหน้าคนอื่น เราควรต้องให้เกียรติคนอื่น
และอย่าโทษแต่คนอื่น
เช่น ถ้าลูกเราเป็นคนไม่ดี อย่าไปโทษว่าเป็นเพราะเพื่อนไม่ดี
ดูตัวลูกของเราก่อนเลย เพื่อนดีๆที่ไหนเค้าจะมาคบหาลูก ถ้าลูกเป็นคนไม่ดี
และถ้าหากลูกเราดี ลูกเราเก่ง ก็ต้องสามารถนำพาให้เพื่อนเป็นคนดีได้สิ
V. ออม เลยไม่อด
ป๊าคือต้นแบบการใช้เงินเฉพาะสิ่งที่จำเป็น ไม่ฟุ่มเฟือย และไม่เคยเป็นหนี้
หลายอย่างที่ป๊าซื้อได้แต่ไม่ซื้อ รถเบนซ์ รถบีเอ็มดับบลิว ป๊าซื้อได้ด้วยเงินสด แต่ไม่คิดว่าเป็นสิ่งจำเป็น
การซื้อของ ชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ ป๊าจะพูดเสมอว่าให้เก็บเงินสดจนครบค่อยซื้อ เงินไม่พอก็ไม่ต้องซื้อ
สิ่งต้องห้าม คือการผ่อน เพราะเสียดอกเบี้ย นี่คงเป็นเพราะป๊าทำธุรกิจและเติบโตมาด้วยตนเอง
และเห็นคุณค่าของเงินสด โดยไม่เคยเป็นหนี้ธนาคารเลย โตแบบค่อยเป็นค่อยไป
ชีวิตส่วนตัว ป๊าเป็นคนประหยัดมาก รองเท้าไม่เคยมีแบรนด์เนม นาฬิกาติดโลโก้ของคู่ค้าก็ใส่ได้
ตอนลูกๆเล็กๆ เราเรียนโรงเรียนใกล้บ้านเสมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงเรียนดัง
และตอนเรียนต่อปริญญาโท ป๊าก็ส่งลูกเรียนต่างประเทศ โดยที่ลูกไม่ต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่ม
เพราะหน้าที่ของลูกคือเรียน และมีเพียงต้องตั้งใจเรียน
VI. ความเพียร ความพยายาม
หนึ่งในความเพียร เท่าที่ลูกสาวเคยฟังพ่อเล่ามาก็คือ การหัดภาษาจีนด้วยตัวเอง
ผ่านการอ่านนิยายกำลังภายในของจีน ซึ่งพ่อชื่นชอบ อ่านไปเปิดดิกชันนารีไป จนเก่งภาษาจีนในที่สุด
ป๊าความจำดีมาก นี่ถ้าพ่อมีโอกาส เท่ากับที่พ่อสร้างให้กับลูก
ป๊าคงไปได้ไกลมากๆ ประสบความสำเร็จกว่านี้อีกมาก
ลูกนี่ได้อ่านหนังสือ ได้เรียน ได้เดินทาง กลับจำอะไรได้น้อยจัง สู้พ่อไม่ได้เลย
ถ้าเก่งเท่าพ่อก็คงจะดี
ความเก่งอีกเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ คือการยอมรับความจริง และอยู่กับปัจจุบัน
พอป๊ารู้ว่าตัวเองป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ป๊าไม่เคยร้องไห้ให้ตัวเอง
เราปรับตัวกันไป ถ้าเดินไม่ได้ เราก็นั่งรถเข็น ถ้ากินไม่ได้ เราก็ปั่นอาหารทานกัน
ทานอาหารปั่นไม่ได้ เราก็ฟีดผ่านหน้าท้อง
ป๊ารับรู้ทุกเรื่อง ทุกการตัดสินใจ เราก็มักถามป๊าเสมอ ถ้าใช่ป๊าก็กระพริบตาบอกเป็นสัญญานยืนยัน
อย่างวันนี้ที่พ่อเลือกออกเดินทาง พ่อก็คงเลือกแล้วให้เป็นวันดีที่สุด วันพระใหญ่ รถก็ไม่ติด
(บันทึกเพื่อส่งป๊าออกเดินทางไปยังดินแดนแห่งความสุขอันเป็นนิรันดร์ ด้วยรัก 14กค65)
_____________________________________________________________________