วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

เรื่องเล่าจากป่ะป๊า

I. ความเข้มแข็งเป็นมรดก 
    จะว่าไปป่ะป๊าต้องวางแผนไว้แน่ๆ ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าจะลูกสาว หรือลูกชาย หากมีเหตุใดๆที่ไม่ได้ดั่งใจ แล้วเสียใจ และตั้งท่าจะร้องไห้ จะต้องมีป่ะป๊ามาคอยสอน ห้ามไม่ให้ร้องไห้อยู่เสมอ อย่างลูกสาวนี่ ด้วยความที่เป็นลูกคนโต ป่ะป๊าก็จะบอกว่า “เราเป็นพี่ ต้องเข้มแข็ง ห้ามร้องไห้ให้คนอื่นเห็น ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี” ส่วนน้องๆ ลูกชายทั้งสองคน ป่ะป๊าก็จะเปลี่ยนเป็นบอกว่า “นี่เราเป็นลูกผู้ชาย ห้ามร้องไห้ง่ายๆ อ่อนแอไม่ได้ เราต้องเข้มแข็ง” สรุปแล้ว ลูกๆทั้งสามคนจึงถูกหล่อหลอม และหลอกหลอมให้มีนิสัยเข้มแข็งไปโดยปริยาย แน่นอนว่า ที่แต่ละคนได้อนิสงฆ์ของความเข้มแข็งกันไปในการใช้ชีวิต สุดท้ายแล้วป่ะป๊า กับหม่าม้านี่ล่ะที่ได้ผลดีโดยตรงซะมากกว่า ตัวอย่างที่ชัดที่สุด คือ ตลอดเวลาที่ป่ะป๊าป่วย ตลอดสิบปีที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่ติดเชื้อต้องเข้าออกโรงพยาบาล โดยเฉพาะช่วงแรกที่ทั้งป๊า และทุกคนในบ้านต้องปรับตัวอยู่กับโรคร้าย ป๊าเริ่มขยับตัวไม่ได้ทีละนิด จนต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง เวลาที่ลูกสาวคนโตของป๊าดูแลคุยเล่นกับป๊า สิ่งที่กลั้นไว้คือน้ำตา สิ่งที่พูดคือกำลังใจที่ให้กันกับรอยยิ้ม ถ้ากลั้นไม่ไหว ถ้าอยากเศร้า ก็แค่เดินออกมา ไปห้องน้ำ ไปที่อื่น สิ่งที่สำคัญคือเรามีรอยยิ้มให้กัน มองโรคร้ายให้เป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อไม่มียารักษาเราก็ทำได้แค่ปรับตัว ในวันที่ป๊าป่วยติดเตียง ป๊าก็ไม่ได้เห็นลูกสาวคนนี้ร้องไห้ เชื่อมั่นว่าป๊าสบายใจที่เห็นลูกสาวยิ้มมากกว่าเห็นน้ำตาแน่ๆ เรามักจะคุยกันด้วยบรรยากาศของความรัก ความห่วงใย และความสุข เราไม่คุยค่อยกันเรื่องความหวัง มีหวังก็มีผิดหวัง หัวข้อที่ลูกชอบคุยปรึกษาป๊าบ่อยๆคือ การวางแผนรับมือ หากเดินไปเที่ยวไม่ได้ เราจะเข็นไปเที่ยวกัน ช่วงนี้ไปไหนได้บ้าง หากเคี้ยวไม่ไหว เราก็ปั่นอาหารสิ หน้าตาอาหารไม่ดี แต่รสชาตยังดีอยู่นี่นา แล้วหากวันไหนเที่ยวไม่ไหว เราก็ดูหนังจีนที่ป๊าชอบที่บ้านก็ได้ เราก็ต้องช่วยกันเรียนรู้และปรับตัว เข้าใจโรค ยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้ คนที่เข้มแข็งที่สุดก็คือ ป่ะป๊า เข้มแข็งมาตลอด ให้ลูกเห็น ให้ลูกซึมซับ และให้ลูกได้มีโอกาสเข้มแข็งได้แบบป๊า ยิ้มได้แม้ขยับตัวไม่ได้ ยิ้มได้แม้เสียใจ “ความเข้มแข็ง คงเป็นทรัพย์สิน เป็นมรดกชิ้นใหญ่ที่ป๊ามอบให้” 

II. น้ำตาลูกผู้ชาย 
    แม้ในวันที่พ่อขยับไม่ได้ พูดไม่ได้ พ่อไม่เคยร้องไห้ให้ตัวเอง ไม่มีความอ่อนแอ นี่พ่อเลยเถิดสอนไปถึงลูกสาว ว่าห้ามร้องไห้ให้คนอื่นเห็นไปอีก ส่วนน้ำตาของพ่อ มีให้กับความภูมิใจ และความปราบปลื้มเท่านั้น ถ้าทีมชาติไทย ไม่ว่าจะวอลเลย์บอล หรือฟุตบอลชนะ เราก็อาจเห็นน้ำตาของพ่อก็ได้ 

III. วางใจ ไว้ใจ เชื่อใจ 
    ลูกป๊าดีที่สุด เก่งที่สุด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ คนอื่นดีกว่านี้ ก็ไม่ใช่ลูกป๊าอยู่ดี ที่สำคัญคือห้ามโกหก มีอะไรให้บอก เมื่อไม่โกหกป๊าก็วางใจ การให้ลูกสาวไปลองอยู่คนเดียวที่คอนโด ก็มีป๊านี่ล่ะที่ปล่อยไฟเขียวก่อนแม่อีก การสอนลูกน้อง และการไว้ใจเชื่อใจลูกน้องก็ไม่ต่างกัน ป๊ามักบอกว่าเราทำงานคนเดียวไม่ได้ ถ้าลูกน้องโกงแต่ไม่มีหลักฐานและเรายังมีกำไร ให้หลับตาข้างนึง แต่ถ้ามีหลักฐานที่ชัดเจน เราก็ต้องลงโทษให้เป็นตัวอย่าง 

IV. เลี้ยงลูกแบบผู้บริหาร 
    พ่อสอนว่า คนเรานะ ถ้าชม ต้องชมต่อหน้าคนเยอะๆ แต่ถ้าจะต่อว่าใคร ให้เรียกมาคุยตัวต่อตัว เพียงเค้าคนเดียว ไม่มีใครที่อยากเสียหน้าต่อหน้าคนอื่น เราควรต้องให้เกียรติคนอื่น และอย่าโทษแต่คนอื่น เช่น ถ้าลูกเราเป็นคนไม่ดี อย่าไปโทษว่าเป็นเพราะเพื่อนไม่ดี ดูตัวลูกของเราก่อนเลย เพื่อนดีๆที่ไหนเค้าจะมาคบหาลูก ถ้าลูกเป็นคนไม่ดี และถ้าหากลูกเราดี ลูกเราเก่ง ก็ต้องสามารถนำพาให้เพื่อนเป็นคนดีได้สิ 

V. ออม เลยไม่อด 
    ป๊าคือต้นแบบการใช้เงินเฉพาะสิ่งที่จำเป็น ไม่ฟุ่มเฟือย และไม่เคยเป็นหนี้ หลายอย่างที่ป๊าซื้อได้แต่ไม่ซื้อ รถเบนซ์ รถบีเอ็มดับบลิว ป๊าซื้อได้ด้วยเงินสด แต่ไม่คิดว่าเป็นสิ่งจำเป็น การซื้อของ ชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ ป๊าจะพูดเสมอว่าให้เก็บเงินสดจนครบค่อยซื้อ เงินไม่พอก็ไม่ต้องซื้อ สิ่งต้องห้าม คือการผ่อน เพราะเสียดอกเบี้ย นี่คงเป็นเพราะป๊าทำธุรกิจและเติบโตมาด้วยตนเอง และเห็นคุณค่าของเงินสด โดยไม่เคยเป็นหนี้ธนาคารเลย โตแบบค่อยเป็นค่อยไป ชีวิตส่วนตัว ป๊าเป็นคนประหยัดมาก รองเท้าไม่เคยมีแบรนด์เนม นาฬิกาติดโลโก้ของคู่ค้าก็ใส่ได้ ตอนลูกๆเล็กๆ เราเรียนโรงเรียนใกล้บ้านเสมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงเรียนดัง และตอนเรียนต่อปริญญาโท ป๊าก็ส่งลูกเรียนต่างประเทศ โดยที่ลูกไม่ต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่ม เพราะหน้าที่ของลูกคือเรียน และมีเพียงต้องตั้งใจเรียน 

VI. ความเพียร ความพยายาม 
    หนึ่งในความเพียร เท่าที่ลูกสาวเคยฟังพ่อเล่ามาก็คือ การหัดภาษาจีนด้วยตัวเอง ผ่านการอ่านนิยายกำลังภายในของจีน ซึ่งพ่อชื่นชอบ อ่านไปเปิดดิกชันนารีไป จนเก่งภาษาจีนในที่สุด ป๊าความจำดีมาก นี่ถ้าพ่อมีโอกาส เท่ากับที่พ่อสร้างให้กับลูก ป๊าคงไปได้ไกลมากๆ ประสบความสำเร็จกว่านี้อีกมาก ลูกนี่ได้อ่านหนังสือ ได้เรียน ได้เดินทาง กลับจำอะไรได้น้อยจัง สู้พ่อไม่ได้เลย ถ้าเก่งเท่าพ่อก็คงจะดี ความเก่งอีกเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ คือการยอมรับความจริง และอยู่กับปัจจุบัน พอป๊ารู้ว่าตัวเองป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ป๊าไม่เคยร้องไห้ให้ตัวเอง เราปรับตัวกันไป ถ้าเดินไม่ได้ เราก็นั่งรถเข็น ถ้ากินไม่ได้ เราก็ปั่นอาหารทานกัน ทานอาหารปั่นไม่ได้ เราก็ฟีดผ่านหน้าท้อง ป๊ารับรู้ทุกเรื่อง ทุกการตัดสินใจ เราก็มักถามป๊าเสมอ ถ้าใช่ป๊าก็กระพริบตาบอกเป็นสัญญานยืนยัน อย่างวันนี้ที่พ่อเลือกออกเดินทาง พ่อก็คงเลือกแล้วให้เป็นวันดีที่สุด วันพระใหญ่ รถก็ไม่ติด 


(บันทึกเพื่อส่งป๊าออกเดินทางไปยังดินแดนแห่งความสุขอันเป็นนิรันดร์ ด้วยรัก 14กค65)
 _____________________________________________________________________

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2564

ทางลาดสำเร็จรูป พับเก็บได้ กับความยาวของทางลาดรถเข็นวีลแชร์ที่เหมาะสม

ขอแนะนำทางเลือกสำหรับพาผู้ใหญ่ที่ใช้รถเข็นวีลแชร์ไปรพ. หรือไปเที่ยวค่ะ 😊 เชื่อว่าหลายคนเจอปัญหาเดียวกัน คือ งงว่าควรทำทางลาดเข้าบ้านยังงัยดี? ต้องลงทุนรื้อบันไดทำทางลาดรึเปล่า? เร็วๆนี้ผู้เขียนเพิ่งเจอทางออกที่สะดวกมาก "ทางลาดสำเร็จรูป พับได้" ก็เลยแวะมาบอกกล่าว เผื่อเป็นประโยชน์กับท่านอื่นด้วย สิ่งที่สำคัญอย่างนึงเลย คือการเลือกทางลาดที่มีความยาวเหมาะสมกับความสูงของบันได หรือความสูงของพื้นหน้าบ้านจากพื้นถนน ถ้าความยาวสั้นไปก็จะทำให้มีความชันมากเกินไป และไม่สามารถเข็นวีลแชร์ขึ้นได้จริง องศาความชันที่ดีจะประมาณ 15-17องศา ดังนั้น ในกรณีทางลาดที่บ้านของผู้เขียนที่เพิ่งซื้อมาตามภาพด้านล่าง เนื่องจากความสูงหน้าบ้าน (จากพื้นถนน) คือ 30 ซม ความยาวของทางลาดที่เหมาะสมคือ 120 ซม (หรือ 4 ฟุต) ทั้งนี้หากเป็นความสูงของบันได ก็จะต้องวัดความสูงรวมของทุกขั้นบันไดจากพื้นด้านล่างก่อนนะคะ สำหรับความสูงอื่นๆกับความยาวของทางลาดที่เหมาะสม ผู้เขียนรวมรวมข้อมูลได้ดังนี้
ทางลาดแบบนี้สามารถพับครึ่งเก็บได้ จะแบน และมีที่หูหิ้ว พกพาหรือเก็บได้สะดวก ไม่หนักมากนัก ประมาณ 10 กิโลกรัม วัสดุเป็นอลูมิเนียม แต่รับนน.ได้เยอะเลย ส่วนขนาดของกว้างทางลาดโดยรวมคือประมาณ 70 ซม (ไม่รวมขอบกันตก) ซึ่งมีความกว้างพอควรเลยค่ะ สามารถใช้กับรถเข็นวีลแชร์ไฮโดรลิกของที่บ้าน ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ได้ สำหรับร้านที่ผู้เขียนได้ซื้อคือร้านชื่อ The Mobility Thailand ที่เว็บไซด์ https://www.themobilitythailand.com/ ซึ่งไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวนะคะ เพียงแต่เมื่อลองหาข้อมูลแล้วเจอร้านนี้ที่ให้ราคาดี และเมื่อลองไลน์ไปคุยปรึกษา ทางร้านก็ให้ข้อมูลดีมาก และบริการส่งให้อย่างรวดเร็วเลย ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูเผื่อไว้เป็นทางเลือกเปรียบเทียบกันดูนะคะ เมื่อเปรียบเทียบราคาดูจากหลายร้าน ร้านนี้มีราคาโปรโมชั่นของ ทางลาดความยาว 120ซม ที่ 5,900บาท ซึ่งราคาที่เคยเช็คที่เว็บอื่นประมาณ 9พัน ถึง 1หมื่นต้นๆค่ะ นอกเหนือจากทางลาดสำหรับพื้นบ้านหรือบันไดแล้ว มีทางลาดสำหรับเข้าด้วยเหมือนกันค่ะ แต่ผู้เขียนยังไม่เคยซื้อหรือหาข้อมูลเลย ลองศึกษาเพิ่มเติมดูในเว็บที่แนะนำไปก็ได้ค่ะ
พูดถึงทางลาดในรถยนต์ หากเราไม่สะดวกติดตั้ง แต่จำเป็นต้องพาผู้ใหญ่หรือผู้ใช้รถวีลแชร์ไปข้างนอก ขอแนะนำแท็กซี่บริษัทนี้ค่ะ คุณแม่แม้ไม่ได้ใช้วีลแชร์ แต่ท่านก็เดินไม่ค่อยสะดวก ท่านก็ชอบแท็กซีบริษัท CABB taxi ที่มีหน้าตาสวยเก๋แบบแท็กซี่ London ที่สำคัญคือความสะอาด ปลอดภัย มีแผงกั้นระหว่าคนขับและคนนั่ง มีทั้งชื่อคนขับ ทั้งจีพีเอสให้เช็คตลอด ที่สำคัญอีกอย่างคือ ถ้าใช้รถเข็น ให้เค้าเปิดทางลาดลงมา แล้วเข็นวีลแชร์ขึ้นนไปได้เลยค่ะ มีส่วนที่อาจจะยากสำหรับผู้ใหญ่สักหน่อยคือ ต้องจองล่วหน้าผ่านแอพฯ หรือโทรจองค่ะ และแท็กซี่นี้ไม่รับเงินสดค่ะ รับเฉพาะไมบายแบงค์กิ้ง หรือบัตรเครดิตนะคะ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขในทุกๆวันนะคะ

วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การติดตั้งเก้าอี้เลื่อนขึ้นบันได สำหรับผู้สูงอายุ

สาเหตุที่มองหาเก้าอี้เลื่อนขึ้นบันได เพราะปัญหาหลักของแม่ คือ  ท่านจะเดินขึ้นลงบันไดลำบาก เนื่องจากเข่าเริ่มเสื่อม  แต่เดิมจะพยายามย้ายแม่มานอนที่ชั้นล่างกับพ่อ  ก็พบว่าไม่สะดวกเท่าไหร่  เพราะพ่อเองก็ป่วยและมีคนดูแล 2 คนอยู่แล้ว  ทำให้ห้องคับแคบ และแม่ก็นอนไม่หลับ ห้องนอนของแม่เลยต้องอยู่ที่ชั้นลอย  ซึ่งแม้จะใกล้ที่สุดแล้ว แต่ก็ยังต้องเดินขึ้นบันไดอีกสิบกว่าขั้น

โจทย์เร่งด่วนตอนนี้คือ จะต้องหาตัวช่วยขึ้นบันไดให้แม่ ท่านจะได้พักผ่อนในห้องของตัวเอง และได้นอนหลับเต็มที่  เราเคยได้ยินเพื่อนแม่พูดถึง เก้าอี้เลื่อนขึ้นบันได  นึกภาพไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร  นึกแค่ว่าคงแพงเป็นหลักแสนอีกแน่ๆ จากประสบการ์ณการติดไฮโดรลิคยกวีลแชร์ของพ่อขึ้นรถมาก่อน (สองแสนบาท)   เราเลยทำใจอยู่นาน กว่าจะมาหาข้อมูลจริงจัง

เริ่มจากการเสิร์ชหาข้อมูลจากกูเกิ้ล  ก็ยังไม่รู้จะหาคำว่าอะไรดีเลย  ในที่สุดก็เจอคีย์เวิร์ดที่ให้ข้อมูลที่ต้องการอย่าง "เก้าอี้เลื่อนขึ้นบันได" และ "ลิฟท์บันได" สำหรับผู้ที่สนใจลองเสิร์ชจากสองคำนี้ดูก็ได้นะคะ   ก็จะพบว่ามีผู้ที่นำเข้าและให้บริการติดตั้ง ประมาณ 3-4 บริษัท    ภาพและข้อมูลของตัวเก้าอี้เองไม่ได้แตกต่างกันนัก  มีทั้งนำเข้าจากอังกฤษ หรือสวีเดนเป็นต้น

ผู้เขียนได้เลือกมา 2 บริษัท เพื่อโทรสอบถามเรื่องคุณสมบัติของเก้าอี้เลื่อนขึ้นบันได  และราคา  ข่าวดีที่พบคือ งบประมาณไม่ได้สูงมากขนาดที่กลัวตอนต้น  เจ้าแรกเป็นเก้าอี้จากสวีเดน แบบสวยหน่อย แถมได้รางวัลดีไซน์การันตีด้วย เค้าแจ้งว่าราคาเริ่มต้น อยู่ที่ 1แสนบาท  คำว่า "ราคาเริ่มต้น" หมายถึง รางเลื่อนที่จะเป็นรางตรงเท่านั้น  รวมถึงตัวเก้าอี้เองหลังจอด จะมีอ็อปชั่นเสริมอย่างการหมุนเข้าตำแหน่งอัตโนมัติที่จะมีราคาแพงขึ้นอีกประมาณ 2.5หมื่นบาท

ส่วนอีกเจ้าเป็นของอังกฤษ  ตามลิงค์นี้ www.modernstairlifts.com ซึ่งเป็นเจ้าที่ผู้เขียนเลือกติดตั้งให้แม่  นอกเหนือจากคุณสมบัติของตัวเก้าอี้ที่เหมือนกัน  เทคโนโลยีของอังกฤษ  และประสบการณ์ของบริษัทที่ยาวนาน ยังมีเหตุผลสำคัญอีก 2 ข้อ นั่นคือ 1) "ราคาที่สมเหตุผล"  จากการโทรคุยสอบถาม ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 8หมื่นบาท  (รางทางตรง และการเข้าจอดแบบธรรมดา  ใช้เท้าช่วยหมุนเข้าที่) ซึ่งราคานี้ถูกกว่าเจ้าแรกถึง 2 หมื่นบาท  และ 2) "ความเป็นกันเอง" ของฝ่ายขาย (คุณเหมียว) และเจ้าของ  ที่มาดูสถานที่วัดพื้นที่ด้วยตัวเอง  ทำให้รู้สึกถึงความจริงใจและน่าเชื่อถือ

เพื่อเป็นทางเลือกของคนอื่นๆที่สนใจ หรือมีปัญหาคล้ายกันก็ลองติดต่อทางคุณเหมียว ที่โมเดิร์นลิฟท์ดูได้ค่ะ  โทร 0894543100 (สะดวกสุด) หรือทางไลน์ แอคเค้าท์ peemodern (ซึ่งเค้าจะตอบช้าหน่อย)

เมื่อทางบริษัทฯมาดูสถานที่  และวัดขนาดพื้นที่ ก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมจากที่คุยกัน  เพราะโชคดีที่บันไดเป็นทางตรงตามภาพ  และเราเลือกเก้าอี้รุ่นธรรมดา ราคาก็ 8หมื่นบาทตามที่คุยกันแต่แรกทางโทรศัพท์ แต่หากบ้านไหนที่บันไดมีชานพักกลางทางก่อนบันไดเปลี่ยนทิศทาง ทางเลือกนึงที่เป็นไปได้คือ การติดตั้งแยก 2 ราง เก้าอี้ 2 ตัว ที่มาเจอกันเพื่อเปลี่ยนเก้าอี้กันที่ตรงลานพักของบันไดนั่นเอง  ตามความเข้าใจของผู้เขียน วิธีนี้น่าจะมีราคาไม่ต่าง (หรืออาจถูกกว่า) การสั่งทำรางชิ้นเดียว (เก้าอี้ตัวเดียว) ให้โค้งหรือปรับตามรูปแบบของบันไดตลอดทาง

เก้าอี้เลื่อนขึ้นบันได รางตรง 4เมตร กินพื้นที่ออกจากแนวกำแพงข้าง 15-20ซม.

เก้าอี้รับน้ำหนักได้ประมาณ ร้อยกว่ากิโล พับเก็บได้

หลังคอมเฟิร์มกัน แค่ 1สัปดาห์ ทีมงานก็เข้ามาติดตั้ง  ซึ่งก็เป็นทางเจ้าของกับลูกชายมาติดตั้งให้ด้วยตัวเอง รวมถึงคุณเหมียว (ฝ่ายขาย ที่คุยติดต่อกันตลอด) เนื่องจากเป็นวันหยุด ใช้เวลาติดตั้งประมาณ 2 ชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย ในชุดเก้าอี้นอกจากจะมีคันบังคับทิศทางขึ้นลงที่ ที่วางมือทั้งซ้ายและขวา ก็ยังมีรีโมทเรียกเก้าอี้ขึ้นหรือลง ทั้งที่ต้นทางด้านล่าง และปลายทางด้านบน โดยยึดติดกับกำแพงตำแหน่งละหนึ่งตัวอีกด้วย เพื่อใช้ในกรณีที่มีผู้ใช้งานมากกว่าหนึ่งคนในบ้าน หากคนแรกขึ้นไปแล้ว คนที่สองจะขึ้นบ้างก็สามารถเรียกเก้าอี้ปล่อยลงมารับด้านล่างได้เลย  ใช้ง่ายและสะดวกค่ะ  แถมทีมงานเค้ายังช่วยติดตั้งราวจับที่กำแพงให้ฟรีอีกด้วย เพื่อให้คุณแม่ได้จับเพื่อลุกขึ้นจากเก้าอี้ได้สะดวกปลอดภัยมากขึ้น  โดยรวมประทับใจทีมงานและบริการมาก

คุณแม่มีความสุขมากกับการใช้งานเก้าอี้เลื่อนขึ้นบันได หรือลิฟท์บันไดนี้  เชื่อว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะกับผู้ใหญ่ทุกท่านค่ะ จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าควรติดตั้งตัวช่วยนี้ให้เร็วกว่านี้   หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆนะคะ

บังคับขึ้นลงได้ทั้งสองด้านของที่วางมือ  



วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

การติดตั้งออกซิเจนหลังวีลแชร์ และในรถยนต์

ปัญหาหลักอีกอย่างในการพาผู้ป่วยนั่งรถวีลแชร์เที่ยว ก็คือ จะหาวิธีการติดอ็อกซิเจนหลังรถเข็นวีลแชร์ และในรถยนต์ ได้อย่างไร

เนื่องจากคุณพ่อจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ  (ผ่านท่อที่เจาะคอ) ควบคู่กับอ็อกซิเจน  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาวิธีที่จะนำอุปกรณ์จำเป็นทั้งหมดพกติดตัวไปด้วยให้ได้  เพื่อจะได้พาคุณพ่อออกจากบ้าน นั่งรถเล่น และเข็นวีลแชร์พาคุณพ่อเที่ยว ได้เช่นเดิม

หลังจากที่พยายามหาข้อมูล ได้พบว่าหากใช้เครื่องผลิตอ็อกซิเจนติดรถยนต์แบบเสียบชาร์ตไฟรถได้นั้น  แม้จะเป็นของจากประเทศจีน  ราคาสูงถึงเกือบหนึ่งแสนบาท  แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเครื่องผลิตอ็อกซเจนที่ใช้ภายในบ้าน  ซึ่งราคาอยู่ที่ 1หมื่นปลายๆหรือ 2หมื่นเท่านั้น

แต่ผู้เขียนโชคดีที่เห็นรถคันอื่นที่มาส่งผู้ป่วยที่รพ.เดียวกับพ่อ  เค้าใช้ถังอ็อกซิเจนมายึดไว้ตรงกลางรถ หลังเบาะรถคู่หน้า   ซึ่งเราเลยนำไอเดียนี้มาใช้กับรถตัวเองดูบ้าง  โดยซื้อโครงเหล็กสำหรับเข็นมาด้วย  เพื่อประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นในกรณีนำมาใช้งานนอกรถเมื่อจำเป็น  รวมถึงโครงเหล็กของถังนี้ ยังช่วยเป็นที่ให้ผูกยึดกับเบาะที่นั่งได้มั่นคงขึ้นอีกด้วย




เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย  นับว่าประหยัดไปได้มาก ยกตัวอย่างเช่น ถังอ็อกซิเจนที่ขนาดความจุ 1.5 ลิตร  ความสูงรวมประมาณ  1 เมตร ราคาประมาณ 2,500บาท  โครงรถเข็น ประมาณ 1,200บาท  และชุดเกย์จ่ายอ็อกซิเจน ประมาณ 1,300 บาท  รวมๆก็ 5,000 บาท

ตามภาพด้านซ้าย มีสายรัดสินค้าทั่วไปที่นำมาใช้ยึกให้แน่นกับก้านพนักพิงศรีษะของเบาะที่นั่งด้านหน้า ทั้งซ้ายและขวา  ส่วนตระกร้าที่เห็นใส่ของแขวนด้านหลังเบาะนั่งคนขับ สำหรับใส่อุปกรณ์จำเป็นอื่นๆ ของคุณพ่อค่ะ เช่นสายดูดเสมหะ  ซึ่งผู้เขียนจะขออนุญาตินำเสมอ สำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์นี้ให้ซื้อ เครื่องดูดเสมหะ ที่สามารถใช้กับไฟรถยนต์ได้ และมีแบตเตอร์รี่ในตัวนะคะ  จะได้นำไปใช้ในรถได้เลยค่ะ  (ตามภาพค่ะ)


ทีนี้เรามาดูวิธีติดตั้งกับด้านหลังรถเข็นวีลแชร์ แบบง่ายๆกันนะคะ  เราวัดระยะระหว่างก้านจับเข็นสองฝั่ง และไปขอซื้อเหล็กอลูมิเนียมจากร้านทำหลังคาและรั้วบ้านค่ะ พอนำมาวางระหว่างมือจับสองข้าง เราก็ได้ที่ยึดอุปกรณ์จำเป็นหลังรถเข็นวีลแชร์แล้วค่ะ  

สำหรับถังอ็อกซิเจนที่นำมายึดติดด้านหลังวีลแชร์  ควรมีน้ำหนักเบา  เพื่อความคล่องตัวในการเข็น  แต่ในขณะเดียวกันก็ควรมีความจุที่เพียงพอกับ ระยะเวลาในการเข็นรถเที่ยวด้วยนะคะ  เราเลยเลือกใช้ถังอ็อกซิเจนแบบอลูมิเนียม  ซึงมีราคาสูงกว่าถังเหล็กเท่าตัว  รุ่นที่เห็นตามภาพ เป็นขนาด 0.7 คิวค่ะ  ราคาประมาณ 4,000บาท  ถ้ารวมกับเกย์จ่ายอ็อกซิเจน และโครงเหล็กแขวน ก็ประมาณ 6-7พันบาทค่ะ (ขายในบางร้านที่ขายถังอ็อกซิเจน  ผู้เขียนซื้อทั้งชุดมาจาก ร้านส.สมบูรณ์อ็อกซิเจน ที่ถ.เจริญนคร ลองติดต่อสอบถามเส้นทาง หรือราคาที่โทร. 02-4370284ค่ะ

ส่วนกระเป๋าที่แขวนด้านข้างถังอ็อกซิเจน  ผู้เขียนสั่งเย็บพิเศษเพื่อนำมาวางเครื่องช่วยหายใจ (เจาะคอ)ของคุณพ่อด้วยค่ะ  ซึ่งก็ควรเป็นเครื่องที่มีแบตฯในตัวเช่นกันนะคะ  ของคุณพ่อเป็นเครื่องของ BREAS  รุ่นVivo40 ค่ะ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ  หากต้องการข้อมูลใดเพิ่มเติม สามารถเขียนสอบถามได้นะคะ  ท้ายนี้ขอให้มีความสุขกับการท่องเที่ยวโดยปราศจากอุปสรรคนะคะ มีรอยยิ้มมาฝากค่ะ  ^_^











วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เข็นวีลแชร์มาเที่ยวมินิจีน ที่เล่งเน่ยยี่ 2

เข็นวีลแชร์มาเที่ยวมินิจีน ที่เล่งเน่ยยี่ 2

ช่วงหลังนี้คุณพ่อเที่ยวไม่ค่อยไหวค่ะ  เราเลยเลือกเข็นพาคุณพ่อเที่ยวใกล้ๆ ในกรุงเทพฯ  ที่เที่ยวล่าสุดที่ขอแนะนำสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ทุกท่าน คือ "วัดเล่งเน่ยยี่ 2" ที่บางบัวทองค่ะ

สำหรับทุกท่านที่ให้แอพฯหรือกูเกิลแมพนำทาง อาจต้องลองพิมพ์ชื่ออื่นๆดูด้วย อย่าง "วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์หรือ วัดมังกร2 นะคะ  ส่วนแผนที่ทางไปคร่าวๆ ตามนี้ค่ะ




พอมาถึงจะมีที่จอดรถอยู่ทั้งด้านซ้าย และขวาของวัดนะคะ สะดวกเหมือนกันทั้งสองด้านค่ะ  มาถึงก็ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าวัดค่ะ  สำหรับผู้ใช้วีลแชร์เข็นสบายในทุกจุด ตามภาพเลยค่ะ ^_^



ชั้นล่าง มาถึงก็เข็นเข้ามาที่โถงด้านล่าง

บรรยากาศที่โถงด้านล่าง

ทางลาดสะดวกตลอดทาง

อีกหนึ่งความสะดวก ที่เป็นไฮไลท์ ก็คือลิฟท์สำหรับผู้ใช้วีลแชร์ ที่จะสามารถขึ้นไปดูวิวด้านนอก เสียดายทีรถเข็นของคุณพ่อมีขนาดใหญ่เกินไป และยังต้องมีถังออกซิเจนด้วย จึงไม่สามารถขึ้นไปได้ และต้องขออภัยที่ไม่มีภาพมาให้ชมนะคะ



ลิฟท์สำหรับวีลแชร์
แม้คุณพ่อไม่ได้ขึ้นไปดูวิวด้านบน  แต่ก็มีความสุขดีค่ะ  ขอแนะนำชาววีลแชร์มาเที่ยวที่นี่ค่ะ  และขอให้มีความสุขกับการท่องเทียวค่ะ

















วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

เข็นคุณพ่อไปเที่ยวหัวหิน

เข็นคุณพ่อไปเที่ยวหัวหิน :)

อย่าลืมเก็บเกี่ยวเวลาแห่งความสุข สนุกสนานไว้มากๆนะคะ  ทริปนี้เราได้เข็นคุณพ่อ ไปเที่ยวด้วยกันส่งท้ายก่อนที่คุณพ่อจะถูกเจาะคอใส่ช่วยหายใจค่ะ   วันนี้คงไปเที่ยวสนุกแบบนี้ไม่ไหว  แต่จะไม่ยอมให้คุณพ่ออยู่บ้านจนเฉาอย่างแน่นอน  ตอนนี้ยังคิดอยู่ และเชื่อว่าทำได้แน่ๆ แต่จะทำอย่างไรได้บ้าง  ไว้จะมาแชร์ให้ฟังอีกทีนะคะ

ส่วนวันนี้ขอแชร์สถานที่เที่ยวที่เป็นมิตรกับผู้ใช้วีลแชร์ในชะอำ และหัวหินกันค่ะ  




เริ่มต้นจากชะอำ ทางผ่านเข้าหัวหิน  มีที่เที่ยวที่สวยเก๋ ที่ห้ามพลาดนั่นคือ "คาเมล รีพับบลิค Came Republic" แม้ไม่ใหญ่นัก  แต่ดีไซน์สไตล์แขกก็เก๋ไม่เบา แถมมีทางลาดทุกที่ สะดวกสุดๆเลยค่ะ  





คุณพ่่อเอ็นจอยกับการดูเครื่องเล่น และมุมสวนสัตว์ของที่นี่มากๆค่ะ ที่ชอบดูมากเห็นจะเป็นเครื่องเล่นที่เหวี่ยงแบบ 360 องศา ถ้ายังหนุ่มอยู่คงได้ไปเล่นแน่ๆ    ที่นี่มีอัลปาก้าด้วยนะคะ มีแววตาช่างสงสัย ตาตี่  คอยาว น่ารักสุดๆไปเลย!  

และที่เด็ดมากๆ คือ ที่นี่มีส่วนลดให้กับเด็ก และผู้สูงอายุ (เกิน 60 ปี) ด้วยนะคะ  ลดตั้งครึ่งราคาแน่ะค่ะ จาก 120 บาท เหลือเพียง 60 บาท เท่านั้นเอง  แฮปปี้



สนุกกันไปแล้ว ก็เดินทางต่ออีกเล็กน้อยก็ถึงหัวหิน   คราวนี้ โรงแรมที่ขอบอกต่อ คือ 
"โรงแรมฮิลตันหัวหิน" เป็นโรงแรมที่เหมาะกับผู้ใช้วีลแชร์เป็นอย่างยิ่ง   มีทางลาดตั้งแต่ทางเข้า และตลอดทั่วทั้งโรงแรม  แม้แต่ในห้องอาหารยังมีทางลาดใหญ่เป็นพิเศษอีกต่างหาก    

ที่สำคัญพนักงานที่นี่ ดูแลผู้สูงอายุเป็นอย่างดีค่ะ  เห็นเราเข็นคุณพ่อไปไหน จะมีคนคอยถามและช่วยเหลือตลอดเลยล่ะค่ะ    

มีโอกาสถ่ายภาพแค่ภาพแรกที่โพสไว้ด้านบน  ที่เหลือมัวแต่สนุกกับการเข็นคุณพ่อ และเม้าท์อยู่ค่ะ  ขอโทษที่ไม่มีภาพมาฝากนะคะ

สนุกกับการเดินทาง และมีความสุขในทุกๆวัน นะคะ :)













วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เก้าอี้วีลแชร์ไฮโดรลิค ติดรถยนต์

ตอนที่มองหาร้านติดตั้ง เก้าอี้วีลแชร์แบบไฮโดรลิค สำหรับรถยนต์ พบว่าข้อมูลหายากมาก โชคดีที่ตัดสินใจไม่ผิด  ประกอบกับมีเพื่อนคนอื่นได้แชร์ข้อมูลเพิ่ม  วันนี้เลยขอคุยเรื่องนี้บอกเล่าประสบการณ์กันค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์กันนะคะ

จากข้อมูลที่ค้นหามา เก้าอี้ไฮโดรลิค ที่ติดตั้งรถยนต์นั้น มีสองแบบ คือ แบบไฮโดรลิคที่หมุน และยกลงเท่านั้น (แต่ไม่ได้เป็นวีลแชร์ในตัว จะต้องเคลื่อนย้ายมาใช้วีลแชร์ที่พกติดรถด้วย)  และอีกแบบคือ ระบบไฮโดรลิคแบบที่มีวีลแชร์ในตัว  เมื่อหมุนและยืดแขนออกมาจากตัวรถ เก้าอี้วีลแชร์นั้นจะค่อยๆลดระดับลงมาจนแตะพื้น และสามารถเข็นวีลแชร์นั้นออกมา เพื่อการใช้งานในที่อื่นๆได้ทันที  โดนเจ้าแขนกลไฮโดรลิคจะสามารถหมุนเข้าพับเก็บยังตำแหน่งเดิมได้

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อรถใหม่เพื่อการติดตั้งเก้าอี้แบบนี้ หรือมองหาร้านที่รับติดตั้ง  ข้อมูลนี้น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยค่ะ :)

ตอนที่ผู้เขียนหาข้อมูลเพื่อติดตั้งวีลแชร์ไฮโดรลิคให้คุณพ่อ ไม่เคยทราบว่ามีรถฮุนได H1 ที่ออกศูนย์ พร้อมบริการติดตั้งเพิ่มวีลแชร์แบบไฮโดรลิคนี้ได้เลย  ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่สะดวก ซึ่งการเข้ารับบริการทางศูนย์จะดูแลในส่วนนี้ด้วย ซึ่งได้ข่าวว่าเป็นที่ ศูนย์ฮุนได รัตนาธิเบศน์  ลองติดต่อสอบถามข้อมูลกันดูนะคะ

ส่วนแบบที่ผู้เขียนติดตั้งไปเป็น การติดตั้งแยกต่างหาก  โดยซื้อรถขนาดกลางที่มีประตูสไลด์รุ่น Honda Spada (Stepwagon) และติดตั้งเก้าอี้เพิ่มแถวท่าข้าม พระราม 2 ที่ร้าน P&M ตามเฟสบุ็คนี้ค่ะ https://www.facebook.com/WelcabThailand  ลองศึกษาข้อมูลดูนะคะ

สิ่งที่จำเป็นที่ต้องคำนึงเพื่อการติดตั้งเก้าอี้ไฮโดรลิคถึง มี 3 ข้อดังนี้

1) รถยนต์ที่มีประตูสไลด์
     เพราะเก้าอี้วีลแชร์แบบไฮโดรลิคจะต้องเผื่อพื้นที่ให้แขนกลยื่นออกมาส่งเก้าอี้ด้านนอกรถ รถที่จะติดตั้งได้จะต้องมีประตูสไลด์เท่านั้น  แต่ไม่เจาะจงว่าจะต้องเป็นรถขนาดใหญ่   ตอนนี้รถขนาดเล็กอย่างฮอนด้าฟรีด Honda Freed ก็สามารถติดตั้งได้เช่นกัน  เพียงแต่หากเราติดตั้งกับรถเล็ก เราก็จะเสียพื้นที่นั่งด้านหลังเก้าอี้วีลแชร์นี้ไปหนึ่งที่   ในขณะที่เราใหญ่จำนวนคนนั่งยังได้เท่าเดิม แต่พื้นที่นั่งด้านหลังวีลแชร์จะแคบลงเพราะติดก้านมือเข็นของวีลแชร์นั่นเองค่ะ

2) เวลา
    ตามเวลาที่สั่งทำ ใช้เวลาประมาณ 2-3 อาทิตย์  โดยเราจะสามารถสั่งทำตามความต้องการของเราได้ เช่นเลือกวัสดุ เลือกสีเบาะ สีด้าย ให้ใกล้เคียงกับเบาะตัวอื่นๆในรถ หรืออาจสั่งเพิ่มอุปกรณ์ที่จำเป็นเข้าไป เช่นกระเป๋าเพื่อใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือหนุนด้านหลังให้นั่งสะดวกขึ้น เป็นต้น

   เมื่อนำรถเข้าไปติดตั้งจะต้องทิ้งรถไว้ประมาณ 5 วันค่ะ

3) งบประมาณ
    เท่าที่คุยกับเพื่อนๆที่ซื้อรถและติดตั้งเก้าอี้วีลแชร์ มักจะตั้งงบประมาณรวมอยู่ที่ 2 ล้านบาท  ซึ่งหมายถึงออกรถใหม่อย่าง Hundai H1 หรือ Honda Spada  ที่ราคาประมาณ 1.2-1.8 ล้านบาท   หากเราเลือกใช้รถที่เล็กลงอย่าง Honda Freed ก็เป็นตัวเลือกที่ดี  ออฟชั่นดีกว่า Spada อีก ราคาก็จะประหยัดไปอีกมาก อยู่ที่ 1 ล้านเท่านั้น

     ราคาติดตั้งวีลแชร์ อยู่ที่ประมาณ 2 แสนบาท บวกลบ  แล้วแต่วัสดุ และขนาด ซึ่งจะสัมพันธ์กันกับรถที่จะใช้งานค่ะ

     สำหรับร้านที่เราติดตั้งไป จะรับเฉพาะเงินสดเท่านั้น ทั้งมัดจำและจ่ายตอนจบงานนะคะ

ลองมาชมภาพประกอบกันบ้างค่ะ  เป็นภาพของรถที่บ้านเองค่ะ :)

เก้าอี้วีลแชร์ของคุณพ่อ  เก้าอี้ด้านข้างคุณพ่อต้องพับก่อนหมุนวีลแชร์ลงมา

หลังจากเข็นออกจะมีฐานอยู่ ซึ่งกดรีโมทเก็บขึ้นได้ รีโมทมีแบบพกติดตัว กับแบบติดกับตัวรถข้างประตู



วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แนะนำโรงแรมสำหรับวีลแชร์ ตอน 2

โรงแรมที่ 2 นี้ ฮิปและเก๋มากค่ะ  ตั้งอยู่ที่พัทยา นาเกลือ ซ. 12  ซอยเดียวกับปราสาทสัจธรรม   เข้ามาตามป้ายปราสาทสัจธรรม และ เลยมาจนสุดทางค่ะ  โรงแรมตั้งอยู่สุดทางจริงๆ ชื่อว่า "เซ็นทารา แกรนด์ โมดัส"  (Centara Grand Modus)    



ได้ยินมาว่าโรงแรมแห่งนี้มีเจ้าของเป็นถึงนักออกแบบ  แม้ว่าจะขนาดเล็กสักหน่อย แต่ดีไซน์สวยเก๋ และสะดวกสำหรับผู้ใช้วีลแชร์มาก แถมยังติดทะเลอีกด้วยล่ะค่ะ   พนักงานโรงแรมใจดีจัดห้องคอนเน็คติ้งรูม  ที่เปิดเชื่อมกันได้ให้เราอีกแล้วค่ะ  จะได้ช่วยกันดูแลคุณพ่อได้สะดวกขึ้น ห้องพักทุกห้องได้ชมวิวทะเล ด้านตรงเต็มๆเลยค่ะ ไม่เหมือนกับโรงแรมหลายแห่งที่เห็นวิวจากด้านข้างเท่านั้น  ปลื้มค่ะ

เชิญชมภาพกันดีกว่าค่ะ ว่าสวยเก๋ขนาดไหน
นี่เป็นภาพที่เห็นจากระเบียงห้องที่กว้าง มีที่นั่งใหญ่ให้ดูวิวสวยทั้งวัน เรือนกระจะคือฟิตเนสติดทะเล


วิวจากมุมตรง สวยเต็มๆไปเลย


บรรยากาศและการตกแต่งห้อง เตียงใหญ่นอนสบาย















ห้องน้ำแคบหน่อย พกเก้าอี้มาใช้ในห้องอาบน้ำด้วยนะคะ
ทางเดินที่เรียบ พร้อมทางลาดทั่วโรงแรม
ลิฟท์เก๋ พื้นลาดเรียบเข้าออกง่าย  ทางเดินก็กว้างสะดวกเข็น
ความสวยเก๋ และสะดวก ครอบคลุมถึงห้องน้ำที่โถงทางเดิน
เรียกว่าโรงแรมนี้ตอบโจทย์ความต้องการของการท่องเที่ยวแบบครอบครัวจริงๆค่ะ  เข็นวีลแชร์พาผู้ใหญ่เที่ยวก็สะดวก  มากับเด็กน้อยก็สนุกนะคะ  มีสระว่ายน้ำหลายสระ  แถมยังมีสระเด็กใหญ่ด้วยล่ะค่ะ  อ้อ! มีสระจากุซซี่ กว้างขวางอีกด้วยนะคะ

ปิดท้าย ขอให้คะแนนส่วนตัวสำหรับ เซ็นทารา แกรนด์ โมดัส แบบ 10/10 ไปเลยค่ะ  สำหรับตอนหน้า ขออนุญาติปิดตอนการรีวิวโรงแรมในพัทยา ด้วยโรงแรมที่ไม่แนะนำสำหรับผู้ใช้วีลแชร์กันบ้างนะคะ


วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แนะนำโรงแรมสำหรับวีลแชร์ ที่พัทยา #1

หลายครั้งที่การเลือกโรงแรมเป็นเรื่องยากสักหน่อย  เพราะต้องคำนึงถึงความสะดวกของผู้ใช้วีลแชร์ด้วย วันนี้เลยถือโอกาสแนะนำโรงแรมที่พัทยา ที่ครอบครัวเราอยากติดดาวเพิ่มให้ กับโรงแรมที่อยากส่งสัญญาณให้ระวังค่ะ  

โดยมากแล้ว โรงแรมใหญ่ๆจะมีการออกแบบที่อำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้วีลแชร์มากกว่าโรงแรมเล็ก แต่ถึงอย่างนั้น ก็อาจมีบางจุดที่ยังไม่มีทางลาด  ยกตัวอย่างเช่น

1. โรงแรมแอมบาสเดอร์ซิตี้ จอมเทียน พัทยา

โรงแรมนี้เป็นโรงแรมใหญ่ มีชื่อเสียงมานาน ตั้งอยู่ที่หาดจอมเทียน เลยพัทยาใต้ไปอีกหน่อยค่ะ  บางส่วนอาจดูเชยๆเล็กน้อย แต่โรงแรมก็มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ทำให้ไม่ดูเก่าหรือโทรม พร้อมมีพื้นที่กว้าง และติดหน้าหาด สามารถเข็นวีลแชร์เที่ยวชมจุดต่างๆ เพื่อเดินเล่นและชมวิว แก้เบื่อได้  รวมทั้งมีร้านกาแฟ และร้านอาหารยุโรปเก๋ๆ ก่อนทางไปหาด ให้นั่งเล่นรับลมได้ชิลล์ค่ะ

ครอบครัวเราเลือกพักที่ตึกหลัก ซึ่งก็คือตึก โอเชี่ยนวิงค์ค่ะ ด้วยความคุ้นเคยและความสะดวกค่ะ มีลิฟท์แก้วหลายตัวทำให้ไม่ต้องรอนาน  มีสระว่ายน้ำ  ห้องอาหาร และลิฟท์ไปยังชั้นล่างที่หาดได้โดยตรง ที่สำคัญเราสามารถขอเป็นห้องคอนเน็กซ์ติ้งรูม (เชื่อมต่อสองห้อง) ได้ ซึ่งทำให้สะดวกต่อการดูแลคุณพ่อคุณแม่ได้ง่ายขึ้นมากค่ะ

เชิญชมภาพบรรยากาศของโรงแรมกันค่ะ

วิวจากห้องพัก ชิลล์ๆแบบไม่ต้องไปไหน ชมวิวจากระเบียงได้เลย
เข็นคุณพ่อมาชมวิวได้สุดขอบระเบียง ชั้นเดียวกับสระว่ายน้ำ ชมวิวหนุ่มสาวระยะใกล้สุดๆ

ลงลิฟท์และเข็นวีลแชร์มาทานกาแฟรับลมค่ะ  ร้านเก๋ๆลมเย็นๆ

มุมด้านนอกของร้านกาแฟ ร้านด้านข้างขายพิซซ่าค่ะ

ทางเท้าที่เรียบ และกว้าง เข็นวีลแชร์ได้สะดวก

ทางลาดตามทางเดินแสนสะดวก
ตอนเย็นๆ จะมีบริการอาหารเย็นแบบเป็นซุ้ม ในบริเวณลานกว้าง (ใกล้กับทางเดินตามภาพด้านบน) ซึ่งสามารถเข็นวีลแชร์มาร่วมสนุก ทานอาหารได้สบายๆค่ะ  ประเภทอาหารจะมีการเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ไปเรื่อยๆนะคะ  

ในขณะมีข้อดีมาก ก็มีข้อเสียอยู่เล็กน้อยค่ะ น่าเสียดายที่ห้องอาหารสำหรับอาหารเช้าของแขก  เป็นบันไดประมาณ 5 ขั้น  และไม่มีทางลาดให้เข็นวีลแชร์ได้  ทำให้เราต้องพยุงคุณพ่อออกกำลังเดินขึ้น และแบกวีลแชร์ขึ้นมาตามค่ะ  ถ้าทางโรงแรมทำทางลาดที่จุดนี้  จะดีเลิศเหมาะกับผู้ใช้วีลแชร์ และผู้สูงอายุเป็นอย่างมากเลยค่ะ (ซึ่งน่าจะทำได้สบายๆ เพราะมีบันไดขึ้นห้องอาหารหลายจุด และแต่ละบันไดก็กว้างมากด้วย)

สรุปเป็นคะแนน สำหรับความเหมาะสมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีวีลแชร์  โดยรวมได้คะแนน 8/10 ค่ะ  แล้วมาติดตามอ่านโรงแรมต่อไปในพัทยาอีกนะคะ 

เอาวีลแชร์ไปชมรถโบราณ ที่เจษฎาเทคนิคมิวเซียม

ชอบรถโบราณกันมั้ยคะ?  ทริปนี้เราจะเข็นวีลแชร์ไปชมรถโบราณกัน ไม่ไกลจากกรุงเทพฯเลยค่ะ  แค่นครปฐมเอง ประมาณ 1 ชม. เศษๆ ก็ถึงแล้วล่ะค่ะ    ทางไปก็ซับซ้อนเล็กน้อยหากไปทางแม่น้ำนครชัยศรี  แต่นับว่าไม่ยากนะคะ  เพราะทุกทางแยกจะมีป้ายไปเจษฎาเทคนิคมิวเซียมตลอดทางค่ะ  แต่ป้ายอาจจะเล็กสักหน่อย คอยสังเกตุกันดีๆนะคะ

แผนที่ไปเจษฎาเทคนิคมิวเซียม จากเว็บของทางมิวเซียมค่ะ
มาถึงที่มิวเซียมก็แวะเข้ามาจอดด้านหน้าส่งคุณแม่ และคุณพ่อ พร้อมวีลแชร์คู่ใจก่อน  แล้วค่อยจอดรถที่ริมถนนด้านหน้า  ที่นี่ไม่มีการเก็บค่าเข้าชมนะคะ  เพียงแต่ต้องกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนก่อนค่ะ  ให้ข้อมูลคนเดียวสำหรับทั้งกลุ่มได้เลยค่ะ

สำหรับผู้ใช้วีลแชร์ โดยภาพรวม สามารถเยี่ยมชมได้ประมาณ 60% ของพื้นที่ค่ะ  ถึงแม้ว่ามิวเซียมจะมีเพียงชั้นเดียว และไม่มีขั้นหรือขอบแต่อย่างใด  แต่พื้นที่บางโซนมีการจัดวางรถโบราณแบบแน่นเอียด จึงมีช่องว่างไม่พอให้รถวีลแชร์สามารถเข็นผ่านไปได้ค่ะ

แต่ยังไงก็ขอแนะนำให้มานะคะ  ส่วนที่เข้าถึงได้ก็นับว่ามีรถโบราณหลากหลายเก๋ไก๋ คุ้มค่าต่อการชมอยู่แล้วค่ะ  โซนไหนเข้าไม่ถึงจริงๆก็ชะโงกทัวร์เล็กน้อยค่ะ อิอิ

ขบวนรถหัวแถวทางเดิน ต้อนรับแขกด้วยความสดใส 

ทางเดินที่กว้างในช่วงต้น เข็นวีลแชร์ชมได้สบายๆ

โซนด้านหลัง ทางเดินแคบ ตอนท้ายวีลแชร์เข้าไม่ถึง


โซนนี้เข็นวีลแชร์เข้าถึง สนุกไม่น้อย

ที่มิวเซียมนี้หยุดเฉพาะวันอาทิตย์และวันจันทร์  เปิดบริการให้ชมตั้งแต่ 9:00 - 16:00 น. นะคะ  สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม  สามารถอ่านได้ที่ www.jesadatechnikmuseum.com/ หรือ โทร +66 (0) 2819 4000 นะคะ  มีความสุขกับการท่องเที่ยวอย่าให้วีลแชร์เป็นอุปสรรคนะคะ :)

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พัทยา สนุกไม่ซ้ำ ที่เที่ยวใหม่เพียบ ตอน 1

พัทยา น่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มาบ่อยเป็นอันดับต้นๆตั้งแต่เด็กๆ  แต่พอนึกถึงการท่องเที่ยววันนี้ที่ต้องเข็นวีลแชร์พาคุณพ่อเที่ยว ที่คิดว่ายากกลับไม่ยากเลย เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆในพัทยาเพิ่มมากขึ้น  และมีหลายแห่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงวัย และผู้ใช้รถเข็น การเที่ยวพัทยาก็เลยมีโปรแกรมแปลกใหม่ได้อีกค่ะ

โปรแกรมเที่ยวมีให้เลือกเยอะ แต่ขออนุญาติแนะนำให้มาเที่ยวพัทยาสัก 2 วัน 1 คืน กำลังดี ไม่มีเวลาเหงา  เพราะพัทยามาง่ายๆ ไม่ต้องรีบเที่ยวครั้งเดียวหมด แต่มาบ่อยๆแทนก็สนุกนะคะ  ยิ่งถ้ามากับผู้สูงวัยด้วยแล้ว ควรเที่ยวไปพักไปแบบสบายๆค่ะ

ตอนที่ 1 มีไฮไลท์ 2 แห่ง ที่ขอแนะนำ นั่นคือ Mimosa น่ารักๆแบบเมืองเล็กๆในอิตาลี และ อลังการโชว์ ที่ดูได้เพลินๆแบบไทยๆ ต่างจากสไตล์ทิฟฟานี่ที่อาจไม่เหมาะกับผู้ใหญ่ ที่รักสงบเท่าไรนัก

Mimosa จำลองเมืองเล็กๆในอิตาลี มายังจอมเทียน พัทยา

การเดินทางมามิโมซ่าไม่ยากเลยล่ะค่ะ  ตั้งอยู่ที่จอมเทียน พัทยาใต้  เยื้องกับโรงแรมแอมบาสเดอร์ จอมเทียนค่ะ พอเลี้ยวรถเข้ามาในที่จอดรถ จะเห็นบู้ทขายบัตรอยู่ตรงทางเข้า ถ้ามีผู้ใช้รถเข็น เราสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตอนยื่นบัตรผ่าน เพื่อให้เปิดทางเข้าสำหรับเข็นวีลแชร์ผ่านเข้าไปได้ สบายๆเลยค่ะ บรรยากาศของสถานที่น่ารักมากๆ เหมาะกับการถ่ายรูป และตลอดทางก็เป็นทางลาด สะดวกต่อการเข็นมากค่ะ  ที่นี่เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 10:00 ถึง 22:00 น.นะคะ  ส่วนค่าบัตรเข้าชมก็คนละ 150 บาทค่ะ

มีภาพสวยๆบางส่วนมาฝากค่ะ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปอ่านต่อไปที่  http://www.mimosa-pattaya.com/ 
มุมร้านกาแฟน่ารักๆแบบอิตาลี

ทางลาดให้เข็นชมบรรยากาศ (แต่ถ้าชมร้านค้าระยะใกล้จะติดขอบนะคะ)


ชม อลังการ โชว์ ที่จอมเทียน

ก่อนอื่นต้องออกตัวขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาอวดเลยค่ะ  เพราะไปสายจะเริ่มโชว์แล้ว และต้องเข็นวีลแชร์คุณพ่อ กับประสานงานเจ้าหน้าที่ จนไม่มีเวลาถ่ายภาพ  แต่เพราะประทับใจหลายอย่างที่นี่ จึงต้องขอบอกเล่าจากประสบการณ์จริงล้วนๆค่ะ

จากมิโมซ่า มาอลังการ เป็นเส้นทางเดียวกันพอดีค่ะ  เพราะอยู่ที่จอมเทียนเหมือนกัน  แต่ต้องเลยมาพอสมควร อลังการตั้งอยู่บนสถานที่กว้างใหญ่มาก  แต่ก็สะดวกกับการใช้วีลแชร์มากเช่นกัน เพราะมีการทำทางลาดไว้หมด  พร้อมกับมีวีลแชร์เตรียมพร้อมให้บริการอีกด้วยในกรณีที่ไม่ได้เตรียมมาเอง    ตอนที่เราไปเที่ยวกัน มีวีลแชร์เฉพาะของคุณพ่อ  ส่วนคุณแม่พอเดินไหวตอนขาเข้า และได้ใช้บริการวีลแชร์ตอนขาออก เพราะสถานที่กว้างใหญ่เกินการเดินของผู้สว.  ถ้ามีเคสจำเป็นนี้ก็ไม่ยากนะคะ  เพราะมีวีลแชร์มีเตรียมพร้อมรอไว้ที่หลังประตูโถงอาคารการแสดงค่ะ

โชว์ก็สนุกและอลังการสมชื่อ ใครที่เคยชมสยามนิรมิตร ก็ต้องบอกว่าอลังการไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น  แต่เป็นแนวเดียวกัน  ยิ่งใหญ่แบบน้องๆค่ะ  สนุกและสวยงามประทับใจ อ้อ!  เนื่องจากมีคุณพ่อซึ่งนั่งวีลแชร์ไปด้วย  ทางเจ้าหน้าที่ก็จัดเตรียมที่นั่งให้เราเป็นพิเศษอีกด้วยค่ะ

อลังการมีการแสดงทุกวัน ยกเว้นวันพุธ  ตอน 18:00 น.ค่ะ  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อ่านรายละเอียดได้ที่
http://www.alangkarnthailand.com/main.htm นะคะ


สนุกทริปนี้ที่พัทยาแล้ว รอบหน้ามาพัทยาใหม่ ลองตามมาดูไอเดียเพิ่มจากตอน 2 สำหรับที่เที่ยวสนุก
ด้วยวีลแชร์กันอีกนะคะ

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

เข็นวีลแชร์ชิลล์ๆ ที่ตลาดน้ำขวัญเรียม

คุณพ่อผู้ใช้วีลแชร์แนะนำว่า ทริปที่ควรแชร์คือ "ตลาดน้ำขวัญเรียม" เพราะได้สัมผัสบรรยากาศตลาดน้ำได้อย่างสะดวกสบายจริงๆ  ตอบโจทย์ทั้งคุณแม่ที่ชอบช้อปปิ้งอีกด้วยล่ะค่ะ

เอกลักษณ์อย่างนึงที่เก๋ มากๆของที่นี่คือ มีตลาดอยู่ทั้งสองฝั่งของคลองแสนแสบ คือที่วัดบำเพ็ญเหนือเสรีไทย 60 และ วัดบางเพ็งใต้รามคำแหง 187  โดยมีสะพานไม้เชื่อมไว้  ทำให้ผู้มาเที่ยวได้สัมผัสบรรยากาศและสนุกกับการช้อป เหมือนได้ชิมและช้อปท้้งสองตลาดในคราวเดียวค่ะ


ทีตลาดขวัญเรียมแห่งนี้ ได้ออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ใช้วีลแชร์โดยเฉพาะ  ทุกที่จะมีทางลาดไว้เสมอ รวมถึงห้องน้ำที่แยกออกมาเป็นสัดส่วน  และที่ปลื้มมากคือ "ลิฟท์" ที่อำนวยความสะดวกสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ที่ต้องการข้ามสะพานไป-กลับจากตลาดฝั่งตรงข้าม ซึ่งให้บริการอยู่ที่ด้านข้างของสะพานทั้งสองฝั่งค่ะ และไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดนะคะ  


มีความสุขกับการชิม ชม ช้อปกันมากๆนะคะ


(อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.kwan-riamfloatingmarket.com/)

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ไปเที่ยว "อยุธยา" กันมั้ยคะ?

WheelShare ทริป 3: เข็นวีลแชร์ไปชิลล์ที่ "อยุธยา"

มาเที่ยวอยุธยา คิดถึงอะไรกันบ้างคะ  เชื่อว่ามี "กุ้งแม่น้ำ" อยู่ด้วยแน่ๆ  งั้นเรามาเริ่มจากร้านอาหารที่เฟรนด์ลี่กับผู้ใช้วีลแชร์กันดีกว่าค่ะ  ซึ่งร้านที่ขอแนะนำคือ "ร้านต้นน้ำ ริเวอร์วิว อยุธยา" ค่ะ


ร้านต้นน้ำได้ทำทางลาดไว้เรียบร้อยดี  แม้ว่าจะไปได้ไม่ถึงโซนเรือก็ตาม แต่ก็ไม่เลวทีเดียว อาหารอร่อยอากาศดี  กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่มากกกจริงๆ  เสียแต่ห้องน้ำยังไม่มีทางลาดให้เข็น จึงต้องให้คุณพ่อออกแรงเดินเล็กน้อยค่ะ




ทานอาหารอิ่มแล้วก็ได้เวลาเที่ยวต่อ  ซึ่งไม่ไกลจากร้านต้นน้ำเลย  -ขับรถตรงไปตามทางเพียง 1 กม.โดยประมาณ  เราก็จะมาถึง "พระราชวังบางประอิน" กันแล้วล่ะค่ะ

ที่พระราชวังบางประอินกว้างใหญ่มาก  ถ้าเข็นวีลแชร์ก็คงเหนื่อยกันหน่อยแต่ก็เป็นไปได้อยู่ค่ะ  ถ้าพอเดินได้เล็กน้อย แนะนำให้เช่ารถกอล์ฟค่ะ โดยเราจะต้องขับเองนะคะ  ก็จะได้วนดูบรรยากาศโดยรอบกันค่ะ




สำหรับหนุ่มๆสาวๆที่จะมาอย่าใส่เสื้อแขนกุด หรือกางเกง/กระโปรงสั้นกว่าเข่านะคะ  เท่านี้ก็เที่ยวได้สะดวกสบายใจกันแล้วค่ะ  เที่ยวกันอย่างแฮปปี้นะคะ